วิธีตรวจสอบและแก้ไขเมื่อระบบโซลาร์ผลิตไฟได้น้อย
เมื่อคุณลงทุนติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ในบ้าน ย่อมคาดหวังให้ระบบทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่หากวันหนึ่งพบว่าระบบผลิตไฟได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น อาจมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดปัญหานี้ บทความนี้จะช่วยแนะนำวิธีตรวจสอบและแก้ไขเบื้องต้น เพื่อให้คุณสามารถดูแลระบบโซลาร์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. ตรวจสอบข้อมูลการผลิตไฟฟ้ารายวัน
เริ่มต้นจากการเปิดแอปหรือเว็บของอินเวอร์เตอร์ที่ใช้งานอยู่ ซึ่งมักจะมีกราฟแสดงการผลิตไฟในแต่ละวัน สังเกตว่ากราฟลดลงมากผิดปกติหรือไม่ หากพบว่าการผลิตลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงวันที่มีแดดแรง อาจบ่งชี้ถึงปัญหาทางเทคนิค
2. ตรวจดูความสะอาดของแผงโซลาร์เซลล์
ฝุ่นละออง ใบไม้ มูลนก หรือคราบต่าง ๆ ที่สะสมบนแผงโซลาร์เซลล์อาจลดประสิทธิภาพการรับแสงได้มากถึง 10–30% การล้างแผงทุก 3–6 เดือนเป็นเรื่องจำเป็น โดยควรล้างในตอนเช้าหรือเย็น และไม่ใช้แรงดันน้ำสูงเกินไป
3. ตรวจสอบเงาบัง (Shading)
การที่มีเงาบังบางส่วนของแผง แม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถลดการผลิตไฟของทั้งแถวได้ โดยเฉพาะถ้าแผงเชื่อมต่อกันแบบอนุกรม (Series) ควรตรวจสอบว่าในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวันมีเงาจากต้นไม้ เสา หรืออาคารอื่นบังแผงหรือไม่ และพิจารณาตัดแต่งหรือเคลื่อนย้ายสิ่งที่บังแสงออก
4. ตรวจสอบสถานะอินเวอร์เตอร์
ดูที่หน้าจออินเวอร์เตอร์ว่าแสดงสถานะ “Operating,” “Standby,” หรือ “Fault” หากมีการแจ้งเตือน (Error Code) เช่น Grid Over Voltage, PV Low Voltage, หรืออื่น ๆ ให้ตรวจสอบคู่มือของอินเวอร์เตอร์รุ่นนั้น หรือติดต่อผู้ติดตั้ง
5. ตรวจสอบสายไฟและจุดต่อ
สายไฟที่หลวม ขาด หรือชำรุดจากหนูหรือแมลง อาจทำให้ไฟไม่สามารถไหลได้ตามปกติ ควรให้ช่างผู้ชำนาญตรวจสอบการต่อสายที่คอมไบเนอร์บ็อกซ์ อินเวอร์เตอร์ หรือแผง โดยเฉพาะจุดต่อ MC4 ซึ่งต้องแน่นและไม่มีคราบออกไซด์
6. ตรวจวัดแรงดันและกระแสไฟฟ้า
ใช้มัลติมิเตอร์วัดแรงดัน DC ที่ออกจากแผง และแรงดัน AC ที่ออกจากอินเวอร์เตอร์ หากแรงดันต่ำกว่าปกติ อาจหมายถึงแผงบางแผ่นมีปัญหา เช่น เซลล์เสียหรือการเชื่อมต่อขาด
7. ตรวจสอบแบตเตอรี่ (ถ้ามี)
ในระบบออฟกริดหรือไฮบริด แบตเตอรี่ที่เสื่อมหรือมีปัญหาอาจไม่สามารถรับหรือจ่ายไฟได้ตามปกติ ควรตรวจสอบแรงดันประจุของแบตแต่ละลูก และเช็คสถานะผ่าน BMS (Battery Management System)
8. ปรับตั้งค่าการทำงานของอินเวอร์เตอร์
บางครั้งปัญหาการผลิตไฟต่ำอาจเกิดจากค่าการตั้งค่าที่ไม่เหมาะสม เช่น ตั้งให้ผลิตได้ไม่เต็ม 100% (Export Limit) หรือมีการจำกัดเวลาเปิด–ปิดการทำงาน ควรให้ผู้ติดตั้งตรวจสอบการตั้งค่าผ่านซอฟต์แวร์
9. ตรวจสอบอุณหภูมิของแผง
ในช่วงบ่ายที่แดดแรง แผงโซลาร์อาจมีอุณหภูมิสูงมาก ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลง หากอุณหภูมิแผงสูงเกิน 60–70°C ควรพิจารณาเพิ่มช่องว่างใต้แผงหรือระบายอากาศให้ดีขึ้น
10. ข้อมูลฝั่งการไฟฟ้า (Grid)
ในระบบไฮบริดหรือออนกริด หากแรงดันจากสายไฟฟ้า (Grid Voltage) สูงเกินมาตรฐาน เช่น เกิน 250V อินเวอร์เตอร์จะตัดการทำงานเพื่อป้องกันอันตราย ควรติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมแรงดัน (Voltage Stabilizer) หรือแจ้งการไฟฟ้าตรวจสอบ
11. ใช้ระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์
ติดตั้งระบบ Monitoring ผ่านแอป เช่น Huawei FusionSolar, Growatt ShinePhone หรือ SolarEdge Monitoring ช่วยแจ้งเตือนเมื่อระบบผลิตไฟน้อยกว่าค่าปกติ พร้อมข้อมูลเปรียบเทียบวันต่อวัน
12. ติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญ
หากตรวจสอบเบื้องต้นแล้วยังไม่พบปัญหา ควรติดต่อผู้ติดตั้งหรือทีมซ่อมบำรุงที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ทำการวิเคราะห์เชิงลึก เช่น การใช้ Thermal Camera ตรวจสอบ Hot Spot บนแผง หรือใช้ IV Curve Tester ตรวจสอบสมรรถนะของแต่ละแผง
สรุป: การตรวจสอบและดูแลระบบโซลาร์เซลล์ให้ผลิตไฟได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนหากรู้แนวทางที่ถูกต้อง ปัญหาส่วนใหญ่สามารถตรวจสอบและแก้ไขได้เองเบื้องต้น เช่น การล้างแผง ตรวจเงาบัง หรือเช็คสถานะอินเวอร์เตอร์ หากระบบยังไม่ดีขึ้นจึงควรให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบโดยละเอียด เพื่อยืดอายุการใช้งานและคืนความคุ้มค่าให้กับระบบพลังงานแสงอาทิตย์ของคุณ

